ทุกข์ของชาวนาในบทกวี
เป็นบทความพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ที่แสดงให้เห็นถึงการเอาพระทัยใส่ความเข้าพระทัยในปัญหาต่าง ๆ
ตลอดจนพระเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อชาวนา
เนื่องด้วยชาวนาแต่ละท้องที่ล้วนมีสภาพชีวิตและความทุกข์ยากที่ไม่แตกต่าง
กันเลย แม้ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปอย่างไรก็ตาม
แสดงให้เห็นแนวพระราชดำริเกี่ยวกับบทกวีของไทยและจีนที่กล่าวถึงชีวิตและความทุกข์ของชาวนาที่มีสภาพชีวิตไม่ได้แตกต่างกันนัก
เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้น่ะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากกรวงเป็นเม็ดพราว ส่วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเปิบกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูท้งสิ้น ที่สูชดกำชาบฟัน
จากบทกวีข้างต้น
เนื้อความในตอนแรกของบทความเรื่อง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงยกบทกวีของจิตร
ภูมิศักดิ์ ซึ่งได้กล่าวถึงชีวิตและความทุกข์ยากของชาวนา
ต่อมาทรงแปลบทกวีจีนของหลี่เชินเป็นภาษาไทยทำให้มองเห็นภาพของชาวนาจีน
เมื่อเปรียบเทียบกับชาวนาไทยว่า มิได้มีความแตกต่างกัน
แม้ในฤดูกาลเพาะปลูก
ภูมิอากาศจะเอื้ออำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี
แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นของผู้ผลิต คือ ชาวนาเท่าที่ควร
ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ ทรงชี้ให้เห็นว่าแม้จิตร
ภูมิศักดิ์และหลี่เชินจะมีกลวิธีการนำเสนอความทุกข์ยากของชาวนา
และทำให้เห็นว่าชาวนาในทุกแห่งและทุกยุคทุกสมัยล้วนประสบแต่ความทุกข์ยาก
ไม่ แตกต่างกันเลย
"เทคนิคในการเขียนของหลี่เชินกับของจิตรต่างกัน คือ
หลี่เชินบรรยายภาพที่เห็นเหมือนจิตรกรวาดภาพให้คนชม
ส่วนจิตรใช้วิธีเสมือนกับนำชาวนามาบรรยายเรื่องของตนให้ผู้อ่านฟังด้วยตน
เอง"
"บทกวีของหลี่เชินเป็นบทกวีที่เรียบง่าย แต่แสดงความขัดแย้งอย่างชัดเจน
คือ แม้ว่าในฤดูกาลเพาะปลูก
ภูมิอากาศจะเอื้ออำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี
แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นของผู้ผลิต คือ ชาวนาหรือเกษตรกรเท่าที่ควร
หลี่เชินบรรยายภาพที่เห็นเหมือนจิตรกรวาดภาพให้คนชม ส่วนจิตร ภูมิศักดิ์
ใช้กลวิธีการบรรยายเสมือนว่าชาวนาเป็นผู้บรรยายเรื่องราวให้ผู้อ่านฟังด้วย
ตนเอง อย่างไรก็ตามแนวคิดของกวีทั้งสองคนคล้ายคลึงกัน คือ
ต้องการสื่อให้ผู้อ่านได้เห็นว่าสภาพชีวิตชาวนาในทุกแห่งและทุกสมัยต้อง
ประสบกับความทุกข์ยากไม่แตกต่างกัน"
วิเคราะห์วรรณคดี
มีการใช้ภาษาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย มีการแสดงออกถึงความคิดที่ดี ลำดับเรื่องราวเข้าใจง่าย และมีส่วนประกอบของงานเขียนประเภทบทความอย่างครบถ้วน คือ ส่วนนำ เนื้อเรื่อง และส่วนสรุป มีการยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจในบทกวีได้มากยิ่งขึ้น มีการเปรียบเทียบและบรรยาย เพื่อให้เกิดจินตนาการและสามารถเข้าใจในบทกวีได้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อเราได้อ่าน วิเคราะห์ บทกวีแล้ว ก็จะทำให้เราได้เข้าใจถึงความทุกข์ยากของชาวนาในการผลิตข้าวแต่ละเม็ดขึ้นมา เพื่อให้คนทุกคนได้รับประทาน ดังนั้นเราจึงควรรับประทานข้าวให้หมด เห็นความสำคัญและคุณค่าของข้าวต่อการดำรงชีวิต การค้าขาย และทางด้านวัฒนธรรม ประเพณี เช่น การลงแขกเกี่ยวข้าว เพลงพื้นบ้าน พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นต้น เราทุกคนควรคิดถึงความเหน็ดเหนื่อยของชาวนาในการปลูกข้าวแล้วนำมาเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตของเราว่าเราสามารถที่จะอดทต่อความยากลำบากได้เหมือนกับชาวนาหรือไม่?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น