วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาระกิจที่ 2 ทุกข์ของชาวนาในบทกวี

ทุกข์ของชาวนาในบทกวี

              เป็นบทความพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี  ที่แสดงให้เห็นถึงการเอาพระทัยใส่ความเข้าพระทัยในปัญหาต่าง ๆ ตลอดจนพระเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อชาวนา  เนื่องด้วยชาวนาแต่ละท้องที่ล้วนมีสภาพชีวิตและความทุกข์ยากที่ไม่แตกต่าง กันเลย  แม้ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปอย่างไรก็ตาม
             
              แสดงให้เห็นแนวพระราชดำริเกี่ยวกับบทกวีของไทยและจีนที่กล่าวถึงชีวิตและความทุกข์ของชาวนาที่มีสภาพชีวิตไม่ได้แตกต่างกันนัก
                               
                                เปิบข้าวทุกคราวคำ                    จงสูจำเป็นอาจิณ
                        เหงื่อกูที่สูกิน                                    จึงก่อเกิดมาเป็นคน
                                ข้าวนี้น่ะมีรส                             ให้ชนชิมทุกชั้นชน
                        เบื้องหลังสิทุกข์ทน                            และขมขื่นจนเขียวคาว
                                จากแรงมาเป็นรวง                     ระยะทางนั้นเหยียดยาว
                        จากกรวงเป็นเม็ดพราว                        ส่วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ
                                เหงื่อหยดสักกี่หยาด                  ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
                        ปูดโปนกี่เส้นเอ็น                               จึงแปรรวงมาเปิบกิน
                                น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง                      และน้ำแรงอันหลั่งริน
                        สายเลือดกูท้งสิ้น                              ที่สูชดกำชาบฟัน

              จากบทกวีข้างต้น
                       เนื้อความในตอนแรกของบทความเรื่อง  ทุกข์ของชาวนาในบทกวี  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี  ได้ทรงยกบทกวีของจิตร  ภูมิศักดิ์  ซึ่งได้กล่าวถึงชีวิตและความทุกข์ยากของชาวนา
                       ต่อมาทรงแปลบทกวีจีนของหลี่เชินเป็นภาษาไทยทำให้มองเห็นภาพของชาวนาจีน เมื่อเปรียบเทียบกับชาวนาไทยว่า  มิได้มีความแตกต่างกัน  แม้ในฤดูกาลเพาะปลูก  ภูมิอากาศจะเอื้ออำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี  แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นของผู้ผลิต  คือ  ชาวนาเท่าที่ควร  ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ  ทรงชี้ให้เห็นว่าแม้จิตร  ภูมิศักดิ์และหลี่เชินจะมีกลวิธีการนำเสนอความทุกข์ยากของชาวนา  และทำให้เห็นว่าชาวนาในทุกแห่งและทุกยุคทุกสมัยล้วนประสบแต่ความทุกข์ยาก ไม่ แตกต่างกันเลย

             "เทคนิคในการเขียนของหลี่เชินกับของจิตรต่างกัน  คือ  หลี่เชินบรรยายภาพที่เห็นเหมือนจิตรกรวาดภาพให้คนชม  ส่วนจิตรใช้วิธีเสมือนกับนำชาวนามาบรรยายเรื่องของตนให้ผู้อ่านฟังด้วยตน เอง"

             "บทกวีของหลี่เชินเป็นบทกวีที่เรียบง่าย  แต่แสดงความขัดแย้งอย่างชัดเจน  คือ  แม้ว่าในฤดูกาลเพาะปลูก  ภูมิอากาศจะเอื้ออำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี  แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นของผู้ผลิต  คือ  ชาวนาหรือเกษตรกรเท่าที่ควร  หลี่เชินบรรยายภาพที่เห็นเหมือนจิตรกรวาดภาพให้คนชม ส่วนจิตร ภูมิศักดิ์  ใช้กลวิธีการบรรยายเสมือนว่าชาวนาเป็นผู้บรรยายเรื่องราวให้ผู้อ่านฟังด้วย ตนเอง อย่างไรก็ตามแนวคิดของกวีทั้งสองคนคล้ายคลึงกัน  คือ  ต้องการสื่อให้ผู้อ่านได้เห็นว่าสภาพชีวิตชาวนาในทุกแห่งและทุกสมัยต้อง ประสบกับความทุกข์ยากไม่แตกต่างกัน"

             วิเคราะห์วรรณคดี
                        มีการใช้ภาษาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย  มีการแสดงออกถึงความคิดที่ดี ลำดับเรื่องราวเข้าใจง่าย  และมีส่วนประกอบของงานเขียนประเภทบทความอย่างครบถ้วน  คือ ส่วนนำ เนื้อเรื่อง และส่วนสรุป  มีการยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจในบทกวีได้มากยิ่งขึ้น มีการเปรียบเทียบและบรรยาย เพื่อให้เกิดจินตนาการและสามารถเข้าใจในบทกวีได้อย่างลึกซึ้ง
                      เมื่อเราได้อ่าน วิเคราะห์ บทกวีแล้ว ก็จะทำให้เราได้เข้าใจถึงความทุกข์ยากของชาวนาในการผลิตข้าวแต่ละเม็ดขึ้นมา เพื่อให้คนทุกคนได้รับประทาน ดังนั้นเราจึงควรรับประทานข้าวให้หมด เห็นความสำคัญและคุณค่าของข้าวต่อการดำรงชีวิต การค้าขาย และทางด้านวัฒนธรรม ประเพณี เช่น การลงแขกเกี่ยวข้าว เพลงพื้นบ้าน พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นต้น  เราทุกคนควรคิดถึงความเหน็ดเหนื่อยของชาวนาในการปลูกข้าวแล้วนำมาเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตของเราว่าเราสามารถที่จะอดทต่อความยากลำบากได้เหมือนกับชาวนาหรือไม่?


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น