วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จดหมายสมัครงาน



                                                               2705/1  ถนนพระรามที่4 แขวงคลองเตย 

                                                                        เขตคลองเตย    กรุงเทพฯ
   10110
                   
                                     โทร02-258-2730 มือถือ081-555-8578
                                                               
                          19  กุมภาพันธ์  2556

เรื่อง        การขอสมัครงาน

เรียน        หัวหน้าฝ่ายบุคคลบริษัท ยืนยง กรุ๊ป จำกัด

สิ่งที่ส่งมาด้วย  1.ประวัติย่อ
            2.ใบแสดงผลการศึกษา
            3.รูปถ่าย 1นิ้ว 2ใบ
    
    ตามที่ดิฉันได้รับทราบข่าวโฆษณาของหนังสือพิมพ์โพสต์ ทวีเดย์ ฉบับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556 ว่าทางบริษัทของท่านต้องการรับสมัครพนักงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด
ดิฉันมีความ สนใจมากที่จะสมัครงานในตำแหน่งดังกล่าว เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ

ประการแรก บริษัทของท่านเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในและต่างประเทศด้วย
ความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและการบริหารงานที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ

ประการที่สอง  ดิฉันมีความสนใจในงานด้านการตลาดและงานที่สามารถใช้ความรู้ทางด้าน ภาษาโดยเฉพาะงานด้านบริหารการตลาด ซึ่งดิฉันสามารถใช้ความรู้ที่เรียนจากมหาวิทยาลัยด้วย และนอกจากนี้หลังจากที่เรียนจบ ดิฉันได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในหลายๆประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานให้กับทางบริษัทของท่าน

นอกจากความสามารถในการพูด อ่าน เขียน ภาษาต่างๆได้ดี เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และ ญี่ปุ่นแล้ว ดิฉันยังมีประสบการณ์ในการทำงานด้านการตลาดอีกพอสมควร ดังที่ท่านได้เห็นในประวัติย่อของดิฉันที่แนบมาด้วย
   
     ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับความกรุณาจากท่านในการเข้าพบ เพื่อพูดคุยและอธิบาย 
รายละเอียดต่างๆ  จึงขอขอบคุณต่อความกรุณาของท่านมา ณ.ที่นี้
                                                                                                         
                                        ขอแสดงความนับถือ


                                                                                                     (นางสาวญาณินท์   นันทพัฒน์พิทยา)

วิเคราะห์นาฬิกาของร่างกาย




แบบบันทึกการสืบค้น/ค้นคว้าแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเอง

เรื่องที่ศึกษาค้นคว้า นาฬิกาของร่างกาย วันที่ 8 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รายชื่อสมาชิก

1. น.ส.    ญาณินท์             นันทพัฒน์พิทยา

2. น.ส.    พิชชาภัทร          ชีวชื่น

3. น.ส.    ธัญลักษณ์          พูลท้วม

4. น.ส.    กฤติกา              สุขเจริญ

5. น.ส.    ภาสินี                โอฬารศรีสกุล

6. น.ส.    นราพร               อัมพรมหา

ประโยชน์จากบทความ

             จากบทความเรื่องนาฬิกาของร่างกายนั้นทำให้เราทราบเกี่ยวกับการทำงานของแต่ละอวัยวะในเวลาต่างๆในหนึ่งวัน เมื่อเราได้อ่านบทความนี้ เราสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น การส่งเสริมการทำงานของอวัยวะในร่างกายเมื่อถึงเวลาที่อวัยวะนั้นๆสามารถทำงานได้ดีที่สุด และ เมื่อเรานำความรู้นี้ไปใช้จะเป็นการพัฒนาความสามารถของอวัยวะในร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังทำให้เรามีสุขภาพที่ดีทั้งภายในและภายนอก เพราะการที่ร่างกายสามารถทำงานได้ดีนั้นจะทำให้เรามีอารมณ์ที่ดี มีความสุข ร่าเริงแจ่มใส และสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

What I KNOW
ความรู้ที่มีอยู่เดิม
What I WANT to know
สิ่งที่ต้องการเรียนรู้
What I LEARNED
สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้/ค้นคว้า
HOW I learned it
วิธีการ/แหล่งเรียนรู้
- ทราบว่าส่วนต่างๆของร่างกายมีช่วงเวลาทำงานของแต่ละอวัยวะ แต่ไม่ทราบว่าแต่ละอวัยวะทำงานช่วงเวลาไหน
- ช่วงเวลาการทำงานของแต่ละละอวัยวะ
-  ได้ทราบช่วงเวลาการทำงานของแต่ละอวัยวะ
- ได้ทราบการปฏิบัติตนเพื่อส่งเสริมการทำงานของแต่ละอวัยวะ
-  สืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
-แหล่งข้อมูลwww.guru.sanook.com

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเอาตัวรอดในยามรถตกน้ำ


การเอาตัวรอดในยามรถตกน้ำ
    
        สังคมในปัจจุบันเป็นสังคมที่เร่งรีบ จึงทำให้ผู้คนต่างต้องรีบเร่งทำในสิ่งต่างๆอย่างวุ่นวาย  บางครั้งอาจพรั่งเผลอจนก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ มีบ่อยครั้งที่คนเราอาจต้องพบเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่คาดฝันซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือแม้แต่ชีวิต  หรือไม่ก็อาจตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินที่ต้องคิดหาหนทางแก้ไขให้ลุล่วงไป มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมาย  เราจึงควรเรียนรู้และเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งไม่คาดฝัน  เพราะไม่ว่าใครก็ตามจะไม่มีทางรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายในไม่กี่วินาทีข้างหน้า
           มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจซึ่งเราควรที่จะจดจำวิธีการเอาตัวรอดไปใช้ คือการหนีจากรถที่กำลังจมน้ำ    เมื่อรถตกลงไปในน้ำให้เปิดหน้าต่างทันที   วิธีนี้เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะหนีออกจากรถ  เพราะทันทีที่ตกลงในน้ำ ประตูรถจะเปิดออกได้ยากเนื่องจากแรงดันน้ำภายนอก  เพื่อความปลอดภัย ควรขับรถโดยการเปิดหน้าต่างหรือประตูไว้เล็กน้อยเมื่อต้องขับใกล้น้ำ  การเปิดหน้าต่างจะทำให้น้ำเข้ามาในรถได้  และทำให้ความดันน้ำภายนอก และภายในเท่ากัน ซึ่งทำให้เราสามารถเปิดประตูออกได้  ถ้าหน้าต่างไฟฟ้าไม่ทำงาน หรือไม่สามารถหมุนหน้าต่างลงจนหมดบาน  ควรพยายามทำให้กระจกแตกด้วยเท้าหรือบ่าหรือวัตถุแข็งๆ อย่างเช่น ที่ล็อกพวงมาลัย หรือที่ล็อกเกียร์ หลังจากนั้นรีบหนีออกมา อย่าไปมัวห่วงข้าวของที่อยู่ภายในรถ  รถยนต์ที่เครื่องยนต์อยู่ทางด้านหน้าจะจมลงด้วยมุมชันมาก  ซึ่งระดับน้ำเกินกว่า 5 เมตรหรือมากกว่านั้น  รถยนต์จะหงายท้องลงเมื่อถึงก้นบ่อ  ด้วยเหตุนี้เมื่อรถยังลอยอยู่  เราจึงต้องพยายามหนีออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  การลอยนี้จะขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง  และอาจมีช่วงเวลาตั้งแต่ไม่กี่วินาทีจนถึงหลายนาที  ยิ่งรถมีอากาศอัดอยู่เท่าไรมันก็จะยิ่งลอยได้นานเท่านั้น  แต่อากาศภายในรถจะถูกไล่ออกอย่างรวดเร็วผ่านทางตัวถังและช่องต่างๆ   และเมื่อรถดำดิ่งที่ก้นแม่น้ำ อาจไม่มีอากาศเหลืออยู่อีกเลย  ดังนั้นจึงควรรีบหนีออกมาโดยเร็วเท่าที่จะทำได้  ถ้าในกรณีที่เราไม่สามารถเปิดหน้าต่างหรือทำให้มันแตกได้  เรายังมีทางเลือกสุดท้าย  คือพยายามอย่าตกใจ  รอจนกระทั่งระดับน้ำภายในรถเริ่มขึ้นมาถึงระดับศีรษะ  ให้สูดหายใจให้เต็มปอดและกลั้นเอาไว้  และเมื่อความดันทั้งภายนอกและภายในรถอยู่ในระดับเดียวกัน  เราจะสามารถเปิดประตูรถออกมาได้  และรีบว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำทันที
           สำหรับคนบางคน การพบกับเรื่องไม่คาดฝันอาจเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตมีรสชาติ  แต่ถ้าเรื่องที่ไม่คาดฝันนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายคงจะไม่ใช่เรื่องที่สนุกอย่างแน่นอน  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการที่ศึกษาหาวิธีการที่จะเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ต่างๆ  อย่างน้อยที่สุดจะทำให้เรามีสติไม่ตื่นตระหนกตกใจจนเกินไป  ที่สำคัญเราจะต้องปฏิบัติตนอย่าประมาท

เมื่อสมาชิกถึง "พันล้าน" "เฟซบุ๊ก" ก็กลายเป็น "เก้าอี้"


เมื่อมีสมาชิกถึง"พันล้าน" "เฟซบุ๊ก"ก็กลายเป็น"เก้าอี้"
         เมื่อสัปดาห์ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เฟซบุ๊ก ฉลองการมีสมาชิกครบ 1,000 ล้านคน ด้วยการปล่อยโฆษณาชิ้นแรกที่เผยแพร่ทั่วประเทศออกมา เปรียบเทียบตัวเองเหมือนเป็นเก้าอี้สีแดงตัวหนึ่ง หลายคนงง อีกบางคนขำ แต่ส่วนใหญ่แล้วคิดเหมือนๆ กัน คือ ไม่เข้าใจว่า เฟซบุ๊ก ต้องการสื่ออะไร
         ยกเรื่องเก้าอี้เอาไว้ก่อน การมีสมาชิกมากถึง 1,000 ล้านคน มากกว่าประชากรของประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศบนโลกใบนี้ สะท้อนถึงความสำเร็จของการทำหน้าที่เป็น "สื่อกลาง" ของตัวเองเพื่ออะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่าง ตั้งแต่การเปลี่ยนคนที่เคยเห็นหน้าให้กลายเป็นเพื่อน การกลับมาเจอะเจอกันของเพื่อเก่าที่ห่างหายกันไปเนิ่นนานหลายปี
        การกลายเป็นเครื่องมือในการรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรเอาไว้แม้จะอยู่ห่าง ไกลกันเป็นร้อยเป็นพันกิโลเมตร เป็นแม้แต่กระทั่งการการเปลี่ยน "คนแปลกหน้า" ให้กลายเป็น "คนคุ้นเคย" หรือแม้กระทั่ง "เพื่อน" ที่อยู่บนพื้นฐานความสนใจอย่างเดียวกัน
         เฟซบุ๊กกลายเป็นพื้นที่สำหรับทำอะไรๆ ร่วมกัน ใช้เวลาร่วมกัน อาทิ ดูหนัง, ฟังเพลง หรืออ่านบทความ ข้อเขียนชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมเป็นกิจกรรมที่ถูกจำกัดอยู่แต่เฉพาะในครอบครัว รูมเมต หรือ คนสนิทที่ชิดใกล้กันได้ทางกายภาพเท่านั้น
         เดวิด เคิร์กแพทริก ผู้เขียน "เดอะ เฟซบุ๊ก เอฟเฟ็กต์" ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า เฟซบุ๊ก เป็นสื่อแรกสุดในโลกออนไลน์ที่ทำให้เราเชื่อถือถึงขนาดยินยอมใช้ชื่อจริงและ ตัวตนจริงในอินเตอร์เน็ต เปิดโอกาสให้ผู้คนทั้งหลายสามารถติดต่อซึ่งกันและกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ ไม่ต้องมีที่อยู่สำหรับส่งจดหมาย ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่อีเมล์ด้วยซ้ำไป
         ย้อนหลังไปเมื่อไม่ช้าไม่นาน "เฟซบุ๊ก" ถูกจำกัดอยู่ในแวดวงของเด็กและวัยรุ่น เป็นอะไรบางอย่างที่ถูกนิยามด้วยความ "ใหม่" และความ "เจ๋ง" แต่ตอนนี้คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า ต่างมีบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองและสนุกกับมันไม่แพ้เด็กๆ เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่ผู้ใหญ่บางคนต้องมีเฟซบุ๊กก็คือ "ต้องมี" ถ้าหากต้องการรู้ความเคลื่อนไหวว่า "เกิดอะไรขึ้นกับลูกๆ หรือหลานๆ ของเราบ้าง เราก็จำเป็นต้องเช็กจากเฟซบุ๊ก"
          นั่นหมายความว่า มีแอพพลิเคชั่นอีกมากมายบนอินเตอร์เน็ต ทั้งก่อนหน้าและหลังจากการก่อกำเนิดของเฟซบุ๊กมาแล้ว ที่อาจจะ "เจ๋งกว่า" หรือ "ใหม่กว่า" แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครมีพลังในการ "อยู่ได้ยืนยาว" ได้นานเท่าที่เฟซบุ๊กมี เพราะเหตุที่ว่า "ใครต่อใครก็อยู่ในเฟซบุ๊ก" ยังไม่มีที่อื่นใดที่สามารถเชื่อมโยงคนนับล้านๆ หรือพันล้านคนเข้าด้วยกันในสถานที่เดียวด้วยการอัพเดตสเตตัส ลิงก์ รูปภาพ หรือวิดีโอ ได้เหมือนอย่างที่เฟซบุ๊กทำ มี "โซเชียล เน็ตเวิร์กกิ้ง" บางรายที่ "เจ๋งกว่า" และ "เข้าท่า" พอที่จะขยับขยายขึ้นมาแข่งขันกับ เฟซบุ๊กได้ อย่างเช่น "อินสตาแกรม" เป็นอาทิ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว อินสตาแกรม ก็ลงเอยกลายเป็นส่วนหนึ่งของเฟซบุ๊กไปด้วยราคา 1,000 ล้านดอลลาร์
           นั่นหมายความว่า เฟซบุ๊ก อาจไม่ใหม่ ไม่เจ๋งเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ แต่คนที่ทำเฟซบุ๊กก็ยังรู้และตระหนักดีว่า อะไรคือที่ใหม่และเจ๋ง จริงๆ เพื่อซื้อกิจการซะ ส่วนตัว เฟซบุ๊ก เอง ไม่จำเป็นต้องเจ๋งเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกต่อไป เพราะมันได้กลายเป็น "เก้าอี้" ไปแล้ว เจ๋งหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ทุกคนก็ต้องการนั่งเก้าอี้ ในวันหนึ่งๆ เราอาจยืนได้อย่างอดทนเนิ่นนาน แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็อยากนั่ง แล้วเราก็คิดถึง "เก้าอี้" ตอนที่ยูสเซอร์ส่วนใหญ่เป็นคนวัย 13-34 ปี เฟซบุ๊ก อาจยังไม่ใช่ แต่เมื่อคนอายุตั้งแต่ 13-80 หันมาใช้มัน เฟซบุ๊กก็กลายเป็น "เก้าอี้" เป็นข้าวของธรรมดาๆ แต่เราหย่าขาดจากมันไม่ได้สักที

 ที่มา : http://www.com5dow.com   
  
เหตุผลที่ชอบ
         เพราะแสดงให้ถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับผู้คนในสมัยปัจจุบันที่เห็นว่า โซเชียล เน็ตเวิร์ก มีความจำเป็นในการดำเนินชีวิต เช่น เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสาร การติดตาม หรือการส่งข้อความบทความต่างๆที่อยากให้ผู้อื่นได้รับรู้ แล้วส่งต่อ 
         บทความนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้ผลิตหรือผู้สร้างเฟซบุ๊ก ที่มีความสามารถทางด้านการค้าขาย การมีหัวคิดสร้างสรรค์ในการสร้างช่องทางในการติดต่อสื่อสาร